ผีจ้างหนัง วัดป่าคำชะโนด



วัดศิริสุทโธ หรือ วัดป่าคำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี อีกหนึ่งตำนานความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคที่คนไทยหลายคนยังสงสัย ซึ่งคนในพื้นที่เชื่อว่าเป็นดินแดนของพญานาค ป่าศักดิ์สิทธิ์ ลี้ลับ อาถรรพ์ เกาะลอยน้ำ กับเรื่องราวความเชื่อที่ว่าเกาะคำชะโนดไม่เคยจมน้ำ เพราะมีพญานาคคอยปกปักรักษา และเรื่องราวที่ทำให้เรารู้จักคำชะโนดในปี 2532 ก็คือ ตำนานผีจ้างหนัง ที่มีคนนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์


  ทางเข้ามีรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร อยู่ช้ายขวาลำตัวยาวเข้าไปในป่าดง คำชะโนด ชึ่งคล้ายสะพานที่ทอดยาวผ่านท้องนาสู่ป่าที่ดูจากภายนอกแล้ว ลึกลับซ่อนแร้นน่าพิศวง
ความเป็นมาของ “คำชะโนด” ที่เกี่ยวพันกับพญานาค ได้แก่ เรื่องผีจ้างหนังมาฉาย ซึ่งก็คือนาคแปลงกายเป็นมนุษย์ ไปว่าจ้างหนังกลางแปลงให้ไปฉายที่ คำชะโนด และอีกเรื่องหนึ่งก็คือเวลาชาวบ้านจัดงานประจำปี มีมหรสพมากมาย นาคก็จะขึ้นมาเที่ยว โดยแปลงร่างเป็นคนธรรมดา ผู้หญิงจะแต่งตัวใส่เสื้อขาว นุ่งผ้าสีคล้ายๆ สีดำ ผู้ชายชอบโพกศีรษะด้วยผ้าแดง.....


คำชะโนด เกาะลอยน้ำ มีเนื้อที่ประมาณ 20 กว่าไร่ มีต้นไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า “ต้นชะโนด” ขึ้นเต็มไปหมด เมื่อเข้าไปที่ คำชะโนด อากาศจะเย็นสบายเหมือนติดแอร์ ที่นี่ พอถึงหน้าฝน รอบๆ เกาะ น้ำจะท่วมทุกปี แต่ที่ คำชะโนด น้ำจะไม่ท่วม ดูเหมือนว่า เกาะนี้จะลอยขึ้นตามน้ำ
  คำชะโนด ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นสถานที่ ที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญานาคาอาศัยอยู่ ชึ่งอยู่บริเวณวัดสิริสุทโธ เป็นที่น่าแปลกที่มีป่าขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยนานาพรรณไม้โดยเฉพาะ ต้นชะโนด อยู่กลางทุ่งนา ก่อนที่จะเข้าไปชมในบริเวณป่าคำชะโนด ผมได้รับข้อมูลจาก ท่านกำนันของหมู่บ้าน ว่าด้วยเรื่องที่มาและความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค กำนันเล่าให้ฟังว่า
     “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อาศัยอยู่และเป็นสถานที่สู่เมืองบาดาลของพญานาคตามความเชื่อ” อีกทั้งบริเวณรอบศาลาเคยมีร่องรอยคล้ายๆรอยพญานาคอยู่ด้วย ซึ่งชาวบ้านต่างเชื่อว่านั้นคือร่องรอยพญานาค แต่ที่ทำให้ผมหูผึ่งและขนลุก กลับเป็นเรื่องเล่าที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้
     เรื่องเกิดขึ้นในราวเดือนมกราคม พศ. 2532 มีคนมาว่าจ้างให้หนังเร่ ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างตกลงกันไว้ 4000 บาท มีหนังฉาย 3-4 เรื่อง แต่มีข้อตกลงกันว่า ให้ฉาย 3 ทุ่มถึงแค่ตี 4 เท่านั้น ห้ามฉายถึงสว่าง พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย ซึ่งทางเจ้าของหนังแร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง
     ทางเจ้าของก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ไปตามวันและเวลาที่ได้นัดหมายหนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3ทุ่ม ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด แต่พอ3ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงหรือแสดงความรู้สึก เหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่วๆไป ฉายหนังบู๊ ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เฉยคนเราอย่างน้อยถึงเป็นคนจริงจังยังไงผมว่าต้องแสดงออกมาบ้างว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่นี้กลับอยู่ในอาการที่สงบ
     แต่ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือปกติเวลามีการฉายหนังกลางแปลงในต่างจังหวัด ก็เหมือนกับมีงานเทศกาลสร้างความคลึกคลื้นให้คนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ร้านค้า ร้านอาหาร ต่างพากันมาเปิดเพื่อซื้อขายกันมากมาย งานนี้ กลับไม่มีเลย บรรยากาศโดยรอบดูเย็นยะเยือกไปหมด
     พอถึงตี 4 มีคนมาบอกว่าให้เก็บข้าวของไปได้แล้ว อีกทั้งยังสั่งว่าเมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ห้ามเหลียวหลังกลับมาดูเด็ดขาด พอทางเจ้าหน้าที่เก็บของและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทางออกจากที่ทำการฉายหนัง แต่ก็เอะใจในคำสั่ง เลยหันกลับไปดู เท่านั้นแหละพี่น้องครับพวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด หายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาต่างฉงนสงสัย
     อีกทั้งพื้นที่ตรงนั้นกลับเป็นป่าทึบที่แม้ที่ๆ จะเอาจอหนังขึงยังแทบจะไม่มี พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อของที่ร้านค้า ชาวบ้านเลยถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา เจ้าหน้าที่ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย แม้กระทั่งเสียงยังไม่ได้ยิน
     เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืน ไปฉายหนังที่ไหนมา ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ไปฉายหนังที่ใน ดงคำชะโนดซึ่งเป็นสถานที่ลึ้ลับที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เองก็เลยเชื่อว่า”ถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า
    ”ปัจจุบันชาวบ้านเชื่อว่า ดงคำชะโนดเป็นที่อาศัยของพญานาคและเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะเข้าไป มีข้อห้ามเช่น ห้ามใส่รองเท้า
สะพานข้ามไปยังเกาะ บางท่านอาจจะยังไม่ทราบ คือ สะพานนี้ถูกสร้างมาหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่ไม่สามารถสร้างให้บรรจบกันได้  สะพานมักจะขาดและและแตกหักเสมอ จนต้องสร้างไม่ให้บรรจบกันโดย
การเอาแผ่นเหล็กมาเชื่อมเอาไว้ ถ้าท่านไปแล้วให้สังเกตุดูครับ
 
 เดินไปประมาณ 200-300 เมตร ก็จะพบศาลเจ้าแม่นาคีกับเจ้าพ่อศรีสุทโธ ที่มีผู้คนมาสักการะบูชา บริเวณใกล้มีฆ้องไว้ให้คนที่มาลูบ เชื่อว่าใครที่ลูบจนเกิดเสียงคนนั้นจะโชคดี ไม่ไกลกันนักเป็นบ่อน้ำ
ตามตำนานได้เล่าไว้ว่ามีชาวบ้าน ป่วยเป็นโรคมะเร็งบ้าง โรคอัมพาต อัมพฤกษ์บ้าง  หรือแม้กระทั้งโรคทางจิต
พอมาอธิฐานกับเจ้าแม่นาคีกับเจ้าพ่อศรีสุทโธ และได้กินน้ำในบ่อ ปรากฏว่า ก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างปลิบทิ้ง และจากปราสบการณ์ของคนที่ไปประสบพบเจอ
และที่สำคัญ
ถัดมาอีกประมาณ 50 เมตร จะมีต้นตะเคียนสองต้นขนาดใหญ่โคนรากขาวไปด้วยแป้งของผู้ที่มาขอโชคลาภ บารมี
เพราะว่าท่านที่มาขอเรื่องโชคลาภมักสมความปรารถนา
และไม่นานมานี้ คุณกัญหา แก่นวงษ์ ก็ได้ถูกรางวัลเลขท้าย 25   วันที่17 มค.60 ที่ผ่านมา
คุณกัญหา แก่นวงษ์
ข้อแนะนำทิ้งท้าย
 มีผู้คนจากทั่วไปเทศเดินทางมา ที่คำชะโนด ไม่ต่ำกว่า1000 คนต่อวันไม่รวมเสาร์-อาทิตย์
ท่านที่จะเดินทางไปควรไปวันจันทร์-ศุกร์ เพราะว่าวันเสาร์-อาทิตย์ รถติดมากๆครับ

ไม่มีความคิดเห็น: