ประวัติ หลวงปุู่อินทร์ นันทโก วัดบ้านบัว อ.โนนสูง นครราชสีมา


วัดบัวสร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2429 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านบัว ใกล้กับสระบัวขนาดใหญ่มีดอกบัวหลวงจำนวนมาก จึงได้เรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านบัว” ครั้นเมื่อสร้างวัดจึงได้ตั้งชื่อวัดให้สอดคล้องกับหมู่บ้านว่า “วัดบัว”

อาคารพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติวัดบัว สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2542 เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2545 พระครูปทุมสารคุณ เจ้าอาวาสปกครองวัดบัวมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2500 ท่านมีความประสงค์จัดตั้งพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุของวัดและสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาถวาย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ


อาคารพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารสองชั้น ส่วนจัดแสดงที่เปิดให้เข้าชมอยู่บริเวณชั้นล่าง พระครูปทุมสารคุณในวัย 80 ปี ได้เป็นผู้นำชมพิพิธภัณฑ์ด้วยตนเอง สิ่งของส่วนใหญ่มาจากการสะสมมาตั้งแต่เด็กๆ ของท่าน ของสะสมช่วงแรกเป็นพวกพระเครื่อง จุดประสงค์ในการสะสมของท่านก็เพื่อให้ลูกหลานได้ดูได้ศึกษา ท่านกล่าวว่าถ้าไม่สะสมจะไม่ได้เห็นอย่างทุกวันนี้

หลวงพ่อได้นำชมพิพิธภัณฑ์เริ่มจากตู้ที่มีกระดึงแขวนคอช้าง ปลอกแขนสำริด เครื่องมือยุคเหล็กอายุประมาณ 3000 ปี ขวานหิน เสาหลักเมือง ชุดน้ำชาสมัยฮ่องเต้ เทียนพรรษาอันใหญ่ ผู้ที่เดินติดตามหลวงพ่อได้บอกว่า เป็นเทียนพรรษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคยลงหนังสือพิมพ์มาแล้ว ก่อนนี้เคยมีคนจะนำไปเก็บไว้ที่ศาลากลาง แต่ทางวัดไม่อนุญาตให้นำไป เพราะคิดว่าเก็บไว้ที่นี่จะดีกว่า ที่วางอยู่กับพื้นหน้าเทียนพรรษามีไม้กลายเป็นหินที่มองออกว่าเป็นต้นตาล ส่วนอันที่ปิดทองไว้ท่านบอกว่าเป็นตาไม้สัก

ในส่วนที่จัดแสดงในตู้กระจก อันที่น่าสนใจมากคือเทวรูปแบบฮินดูขนาดเล็กอายุนับพันปี ได้แก่ เทวรูปนางอุมา นกหัสดีลิงค์ และพระพุทธรูปองค์เล็กในปางต่างๆ โบราณวัตถุนอกจากนี้ได้แก่ ขอเสลี่ยงคานหามที่ใช้กันในสมัยโบราณ มีป้ายเขียนไว้ว่าอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นศิลปะแบบเขมร วัตถุโบราณอีกชิ้นที่น่าพิศวงคือ แหวนโบราณ ใกล้กันมีแม่พิมพ์แหวนในสภาพสมบูรณ์ การที่ของทั้งสองสิ่งยังคงอยู่ด้วยกันมานับพันปีเป็นสิ่งชวนคิดและเพิ่มจินตนาการเป็นอย่างมาก ลักษณะของตัวเรือนแหวนที่มีขนาดใหญ่ชวนคิดว่าคนในสมัยนั้นจะมีรูปร่างใหญ่โตขนาดไหน หลวงพ่อท่านบอกว่าเขาพูดกันว่าคนโบราณสูงแปดศอก

อีกหนึ่งในสิ่งของสะดุดตาที่จัดแสดงในตู้กระจกอีกด้านคือ กะลาตาเดียว สิ่งนี้ถือเป็นของหายาก ให้สังเกตตรงช่องของกะลามะพร้าวจะเห็นว่ามีช่องที่ทะลุได้เพียงช่องเดียว สำหรับผู้ที่มีเก็บไว้ถือเป็นสิริมงคลทำให้เจริญรุ่งเรือง ใกล้กันมีสร้อยปะคำ ทุกเส้นทำมาจากหินอัญมณี ถือว่าเป็นอีกสิ่งที่ดูตื่นตาตื่นใจ

ในการสะสมสิ่งของมีค่าเป็นจำนวนมากมาย ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าท่านน่าจะเคยเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง ท่านเล่าให้ฟังท่านเคยไปประเทศอินเดีย ศรีลังกา จีน การได้เดินชมพิพิธภัณฑ์ไปกับท่าน สิ่งที่ท่านย้ำอยู่เสมอ ท่านต้องการเก็บสิ่งมีค่าเหล่านี้ให้ลูกหลานได้ดู ได้ศึกษา นอกจากจะได้ความรู้ ยังได้ความเพลิดเพลินจากเรื่องราวที่เป็นภูมิหลังของสิ่งของแต่ละชิ้น สำหรับคนที่นิยมและชื่นชอบพระเครื่อง ที่นี่มีอยู่เป็นจำนวนมากทั้งของใหม่และของเก่า

เมื่อเดินชมสิ่งจัดแสดงโดยรอบแล้ว ให้เดินเข้าไปในห้องด้านใน ภายในตู้ไม้ติดกระจกเราจะเห็นพระพุทธรูปโบราณหลายองค์ หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นของโบราณที่พบในโบสถ์หลังเก่า ในส่วนที่วางบนชั้นด้านนอกเป็นพระพุทธรูปที่จัดทำขึ้นเป็นรุ่นเฉลิมพระเกียรติ

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าชมจะต้องติดต่อล่วงหน้า เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่มาประจำ โดยปกติจะเปิดให้ชมเฉพาะชั้นล่าง ส่วนชั้นบนมีสิ่งของคล้ายกันแต่ส่วนใหญ่จะเป็นของใหม่ อาทิ หม้อไห หีบเหล็ก ไม้ตะพด กิ่งกัลปังหา เงินโบราณ พระพุทธรูป ตู้เก็บพระไตรปิฎก หลวงพ่อหยิบของสิ่งหนึ่งที่น่าพิศวงมาก เป็นรังนกเก้าชั้น พยายามคาดเดากันว่าเป็นรังนกอะไร แต่ยังหาคำตอบกันไม่ได้ในเวลานั้น

พื้นที่ส่วนหนึ่งของวัดยังมีสวนป่า ใช้เป็นสถานปฏิบัติธรรมมีศาลาขนาดใหญ่ และมีศาลาไม้เป็นหลังขนาดเล็กสำหรับให้แต่ละคนนั่งวิปัสสนา ใกล้กันมีศาลาพื้นไม้กระดานเรียงยาว สำหรับให้ชาวบ้านได้เข้ามาสวดมนต์พร้อมกับพระสงฆ์ในช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็นของทุกวัน ด้านหลังวัดติดกับลำคลองที่เรียกว่าลำเชียงไกร ในพื้นที่จำนวน 27 ไร่ของวัดมีสระน้ำขนาดใหญ่หนึ่งสระ ท่านบอกว่าอยากจะสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์อีกหลังหนึ่งให้เป็นลักษณะของศาลากลางน้ำ

ข้อมูลจากคุณ สาวิตรี ตลับแป้น / ผู้เขียน / ถ่ายภาพ   ขออนุญาติเพื่อเผยแผ่บารมีหลวงปู่ครับ

ไม่มีความคิดเห็น: